
ความรักในครอบครัว
ไม่ได้ตั้งใจจะมาเขียนอะไรที่ซึ้งกินใจเกี่ยวกับ “ความรัก” แบบสวีท จี๋จ๋า แบบทั่ว ๆ ไป ความจริงแล้วตัวเองก็รู้จักความรักแบบ รักกันแบบแฟน, รักเพื่อน, รักแบบสามี-ภรรยา, รักญาติ,ไม่พูดถึงแบบ รักพี่ รักน้อง (เพราะเป็นลูกคนเดียว) และรักแบบสุดท้ายที่รู้จักคือ “รักพ่อ แม่” มีคนบอกว่าถ้าเมื่อไหร่ที่เรามีลูก เราจะรู้สึกว่ารักพ่อ แม่มากขึ้น จะเข้าใจว่าพ่อ แม่รักเรามากขนาดไหน ก่อนหน้านี้คุณยายไม่สบายเพราะมีอาการเป็นลมบ่อย แล้วก็จะเจ็บหน้าอกตอนที่จะเป็นลม น้าสาวเลยพาไปตรวจที่โรงพยาบาลผลปรากฎว่า…เส้นเลือดที่หัวใจตีบ เส้นเลือดสี่เส้นตีบไปแล้วสองเส้น อีกเส้นใช้การได้แค่ประมาณ 10% เหลือดี ๆ อยู่แค่เส้นเดือน มีอาการเป็นลมบ่อยมากก่อนที่จะมาตรวจ เล่าอาการให้หมอฟัง หมอบอกวา…ทำไมอึดรอดมาได้ขนาดนี้ หมอให้พักอยู่ใน รพ. ประมาณสองอาทิตย์กว่า โดยก่อนหน้านี้ก็ทำการฉีดสีเข้าไป ตอนที่จะฉีดสีเค้าก็บอกว่ามีความเสี่ยง 1 ใน 100 ที่อาจมีอาการแพ้ได้ แต่คุณยายก็โชคดีที่ไม่เป็น 1 ในคนโชคร้าย จนเมื่อวันพุธเช้าก็ได้เข้าห้องผ่าตัด โดยใช้เวลาอยู่ในห้องผ่าตัดประมาณห้าชั่วโมง น้าสาวสี่คน และน้าชายอีกหนึ่งคนมาเฝ้ารอแม่ตัวเองออกจากห้องผ่าตัด ส่วนแหม่มไปถึงเมื่อคุณยายผ่าตัดออกมาเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ยังไม่รู้สึกตัว พอน้าชายรู้ว่าคุณยายออกมาจากห้องผ่าตัดโดยปลอดภัยก็ขับรถกลับประจวบฯไป ตอนกลางคืนรับน้าสาวสองคนมาค้างกับมามี๊ที่บ้าน แม่ทำตาแดง ๆ ชั้นก็แซวว่า “แม่เป็นไรอะ” เท่านั้นแหละ คุณนายร้องไห้โฮ ๆ เหมือนเด็ก ๆ แล้วบอกว่า “คิดถึงยาย อยากไปหายาย” แต่ก็ไม่ได้ปลอยอะไรเค้าแค่แซวว่า “กิ๊ว ๆ ร้องไห้เป็นเด็กเลยนะแม่” เข้าใจว่าแม่คงอัดอั้นตันใจที่ไปเยี่ยมคุณยายไม่ได้เพราะแม่ไม่ค่อยสบายอยู่เหมือนกัน ป๋า น้าสาว จนกระทั่งแหม่มไม่ยอมให้เค้าไปโรงพยาบาล เมื่อวานนี้ก็อีกหนึ่งวันเต็ม ๆ ที่เค้าอยากไปโรงพยาบาลแต่ก็ไม่มีใครยอมให้ไป เค้าบอกว่า…วันทั้งวันเค้าก็เดินวนไปวนมาอยู่ในบ้าน คิด ๆ ขึ้นมาก็ร้องไห้ ความจริงนอกจากที่ไม่อยากให้แม่ไปเยี่ยมก็เพราะเมื่อวานคุณยายยังอาการไม่ดี น้าสาวสามคนที่รู้เรื่องจากที่คุณหมอบอกอาการก็ร้องไห้กันไปหลายรอบ เพราะผลการผ่าตัดออกมาไม่ดีนักก่อนผ่าตัดหมอไม่ได้บอกถึงความเสี่ยงจากการผ่าตัดว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง เนื่องจากไม่มีเวลา รู้แค่เพียงว่าอาการแบบนี้ถ้าไม่ผ่าตัดก็มีแต่โอกาสสูญเสีย เมื่อวานที่ไปเยี่ยมคุณยายก็ยังไม่รู้สึกตัว แต่ก็มีการขยับขาไปมา แล้วก็ทำปากเคี้ยวท่อที่สอดเข้าไปในปาก แต่เวลาลืมตามาก็ไม่หันมาตามเสียงเรียก เหมือนกับว่ายังไม่รู้สึกตัว หมอสแกนสมองแล้วบอกว่า มีจุดสีคล้ำ ๆ ที่ปลายสมอง เพราะแคลเซียมที่เกาะอยู่หลุดเข้าไปในกระแสเลือด อาการแบบนี้หมอบอกว่าเกิดขึ้น3-5 คน ในจำนวน 100 ผลที่ได้รับแบบแย่ที่สุดคือไม่รู้สึกตัวไปแบบนี้ซักพักแล้วก็เสียชีวิต หรืออาจเป็นอัมพฤกต์ แถมตอนที่ทำบายพาสหัวใจก็พบว่า “ลื้นหัวใจรั่ว” แต่หมอทำการผ่าตัดให้ไม่ได้เพราะใช้เวลาในการทำบายพาสไปมากถึง 5 ชั่วโมงแล้ว กลัวว่าคนไข้จะรับไม่ได้
เห็นใจน้าสาวสองคนมาก ที่ต้องขึ้นมาจากต่างจังหวัดตื่นเช้ามาก็มาโรงพยาบาลเฝ้าอยู่ด้านนอกห้องได้เดินเข้าไปดูคุณยายเป็นระยะ ๆ เพราะทางโรงพยาบาลให้เค้าเยี่ยมได้แค่ครั้งละสองคนไม่เกินครั้งละสิบนาที วันทั้งวันก็ทำอยู่แต่แบบนี้ เพราะน้าสาวบอกว่า “อยากให้คุณยายได้เห็นหน้าลูกเวลาลืมตาตื่นขึ้นมา เผื่อคุณยายรู้สึกเจ็บพอเห็นหน้าลูกจะได้รู้สึกว่ายังมีคนอยู่ดูแล” กระทั่งเมื่อวานฟังผลจากคุณหมอเค้าก็เสียใจร้องไห้กัน แต่พอกลับมาเจอมามี๊แหม่มเค้าก็ต้องเก็บอาการ ปั้นหน้าตาให้สดชื่น เพราะไม่อยากให้มามี๊แหม่มฟังแล้วไม่สบายใจ น้าสาวบอกว่า “แค่แม่ตัวเองป่วยก็เครียดจะแย่แล้ว ถ้าพี่สาวตัวเองต้องมาป่วยหนักอีกเค้าก็คงรับไม่ไหวเหมือนกัน” จริง ๆ โดยปกติก็รู้อยู่แล้วว่าครอบครัวทางแม่รักกันมากแต่มาครั้งนี้ทำให้มองเห็นความรักที่เค้ามีให้กันแบบซาบซึ้งแบบนี้ ทำให้ชั้นรู้สึกรักแม่ และญาติพี่น้องขึ้นอีกเยอะ
ปล. วันนี้ตกลงกันว่าจะยอมให้มามี๊ไปเยี่ยมคุณยายแต่บอกเค้าไว้ว่าให้แค่ไปดูแล้วรีบกลับ แต่สุดท้ายมามี๊ก็ไม่สบายมากจนอดไปเยี่ยมคุณยาย โทรไปเช็คอาการจากน้าสาวก็ได้ฟังข่าวดีว่า…คุณยายอาการดีขึ้น วันนี้พยักหน้าได้ หวังว่าคุณยายจะโชคดีอาการดีขึ้นเรื่อย ๆ
ไม่ได้ตั้งใจจะมาเขียนอะไรที่ซึ้งกินใจเกี่ยวกับ “ความรัก” แบบสวีท จี๋จ๋า แบบทั่ว ๆ ไป ความจริงแล้วตัวเองก็รู้จักความรักแบบ รักกันแบบแฟน, รักเพื่อน, รักแบบสามี-ภรรยา, รักญาติ,ไม่พูดถึงแบบ รักพี่ รักน้อง (เพราะเป็นลูกคนเดียว) และรักแบบสุดท้ายที่รู้จักคือ “รักพ่อ แม่” มีคนบอกว่าถ้าเมื่อไหร่ที่เรามีลูก เราจะรู้สึกว่ารักพ่อ แม่มากขึ้น จะเข้าใจว่าพ่อ แม่รักเรามากขนาดไหน ก่อนหน้านี้คุณยายไม่สบายเพราะมีอาการเป็นลมบ่อย แล้วก็จะเจ็บหน้าอกตอนที่จะเป็นลม น้าสาวเลยพาไปตรวจที่โรงพยาบาลผลปรากฎว่า…เส้นเลือดที่หัวใจตีบ เส้นเลือดสี่เส้นตีบไปแล้วสองเส้น อีกเส้นใช้การได้แค่ประมาณ 10% เหลือดี ๆ อยู่แค่เส้นเดือน มีอาการเป็นลมบ่อยมากก่อนที่จะมาตรวจ เล่าอาการให้หมอฟัง หมอบอกวา…ทำไมอึดรอดมาได้ขนาดนี้ หมอให้พักอยู่ใน รพ. ประมาณสองอาทิตย์กว่า โดยก่อนหน้านี้ก็ทำการฉีดสีเข้าไป ตอนที่จะฉีดสีเค้าก็บอกว่ามีความเสี่ยง 1 ใน 100 ที่อาจมีอาการแพ้ได้ แต่คุณยายก็โชคดีที่ไม่เป็น 1 ในคนโชคร้าย จนเมื่อวันพุธเช้าก็ได้เข้าห้องผ่าตัด โดยใช้เวลาอยู่ในห้องผ่าตัดประมาณห้าชั่วโมง น้าสาวสี่คน และน้าชายอีกหนึ่งคนมาเฝ้ารอแม่ตัวเองออกจากห้องผ่าตัด ส่วนแหม่มไปถึงเมื่อคุณยายผ่าตัดออกมาเรียบร้อยแล้ว แต่ก็ยังไม่รู้สึกตัว พอน้าชายรู้ว่าคุณยายออกมาจากห้องผ่าตัดโดยปลอดภัยก็ขับรถกลับประจวบฯไป ตอนกลางคืนรับน้าสาวสองคนมาค้างกับมามี๊ที่บ้าน แม่ทำตาแดง ๆ ชั้นก็แซวว่า “แม่เป็นไรอะ” เท่านั้นแหละ คุณนายร้องไห้โฮ ๆ เหมือนเด็ก ๆ แล้วบอกว่า “คิดถึงยาย อยากไปหายาย” แต่ก็ไม่ได้ปลอยอะไรเค้าแค่แซวว่า “กิ๊ว ๆ ร้องไห้เป็นเด็กเลยนะแม่” เข้าใจว่าแม่คงอัดอั้นตันใจที่ไปเยี่ยมคุณยายไม่ได้เพราะแม่ไม่ค่อยสบายอยู่เหมือนกัน ป๋า น้าสาว จนกระทั่งแหม่มไม่ยอมให้เค้าไปโรงพยาบาล เมื่อวานนี้ก็อีกหนึ่งวันเต็ม ๆ ที่เค้าอยากไปโรงพยาบาลแต่ก็ไม่มีใครยอมให้ไป เค้าบอกว่า…วันทั้งวันเค้าก็เดินวนไปวนมาอยู่ในบ้าน คิด ๆ ขึ้นมาก็ร้องไห้ ความจริงนอกจากที่ไม่อยากให้แม่ไปเยี่ยมก็เพราะเมื่อวานคุณยายยังอาการไม่ดี น้าสาวสามคนที่รู้เรื่องจากที่คุณหมอบอกอาการก็ร้องไห้กันไปหลายรอบ เพราะผลการผ่าตัดออกมาไม่ดีนักก่อนผ่าตัดหมอไม่ได้บอกถึงความเสี่ยงจากการผ่าตัดว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง เนื่องจากไม่มีเวลา รู้แค่เพียงว่าอาการแบบนี้ถ้าไม่ผ่าตัดก็มีแต่โอกาสสูญเสีย เมื่อวานที่ไปเยี่ยมคุณยายก็ยังไม่รู้สึกตัว แต่ก็มีการขยับขาไปมา แล้วก็ทำปากเคี้ยวท่อที่สอดเข้าไปในปาก แต่เวลาลืมตามาก็ไม่หันมาตามเสียงเรียก เหมือนกับว่ายังไม่รู้สึกตัว หมอสแกนสมองแล้วบอกว่า มีจุดสีคล้ำ ๆ ที่ปลายสมอง เพราะแคลเซียมที่เกาะอยู่หลุดเข้าไปในกระแสเลือด อาการแบบนี้หมอบอกว่าเกิดขึ้น3-5 คน ในจำนวน 100 ผลที่ได้รับแบบแย่ที่สุดคือไม่รู้สึกตัวไปแบบนี้ซักพักแล้วก็เสียชีวิต หรืออาจเป็นอัมพฤกต์ แถมตอนที่ทำบายพาสหัวใจก็พบว่า “ลื้นหัวใจรั่ว” แต่หมอทำการผ่าตัดให้ไม่ได้เพราะใช้เวลาในการทำบายพาสไปมากถึง 5 ชั่วโมงแล้ว กลัวว่าคนไข้จะรับไม่ได้
เห็นใจน้าสาวสองคนมาก ที่ต้องขึ้นมาจากต่างจังหวัดตื่นเช้ามาก็มาโรงพยาบาลเฝ้าอยู่ด้านนอกห้องได้เดินเข้าไปดูคุณยายเป็นระยะ ๆ เพราะทางโรงพยาบาลให้เค้าเยี่ยมได้แค่ครั้งละสองคนไม่เกินครั้งละสิบนาที วันทั้งวันก็ทำอยู่แต่แบบนี้ เพราะน้าสาวบอกว่า “อยากให้คุณยายได้เห็นหน้าลูกเวลาลืมตาตื่นขึ้นมา เผื่อคุณยายรู้สึกเจ็บพอเห็นหน้าลูกจะได้รู้สึกว่ายังมีคนอยู่ดูแล” กระทั่งเมื่อวานฟังผลจากคุณหมอเค้าก็เสียใจร้องไห้กัน แต่พอกลับมาเจอมามี๊แหม่มเค้าก็ต้องเก็บอาการ ปั้นหน้าตาให้สดชื่น เพราะไม่อยากให้มามี๊แหม่มฟังแล้วไม่สบายใจ น้าสาวบอกว่า “แค่แม่ตัวเองป่วยก็เครียดจะแย่แล้ว ถ้าพี่สาวตัวเองต้องมาป่วยหนักอีกเค้าก็คงรับไม่ไหวเหมือนกัน” จริง ๆ โดยปกติก็รู้อยู่แล้วว่าครอบครัวทางแม่รักกันมากแต่มาครั้งนี้ทำให้มองเห็นความรักที่เค้ามีให้กันแบบซาบซึ้งแบบนี้ ทำให้ชั้นรู้สึกรักแม่ และญาติพี่น้องขึ้นอีกเยอะ
ปล. วันนี้ตกลงกันว่าจะยอมให้มามี๊ไปเยี่ยมคุณยายแต่บอกเค้าไว้ว่าให้แค่ไปดูแล้วรีบกลับ แต่สุดท้ายมามี๊ก็ไม่สบายมากจนอดไปเยี่ยมคุณยาย โทรไปเช็คอาการจากน้าสาวก็ได้ฟังข่าวดีว่า…คุณยายอาการดีขึ้น วันนี้พยักหน้าได้ หวังว่าคุณยายจะโชคดีอาการดีขึ้นเรื่อย ๆ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น